วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2566

สารรักที่ 7

    ทาเคชินั่งมองพระจันทร์ยามเที่ยงคืนจากริมหน้าต่าง


    มือหนึ่งยกขึ้นมาเท้าคาง หยาดน้ำค้างคู่สวยสงบนิ่ง เหมือนกำลังจมลึกในความคิด


    เขากลับมาจากบ้านมาซากิตั้งแต่ช่วงสามทุ่ม แม้สีหน้าเสียดายกับน้ำเสียงบอกลาหงอย ๆ ของคนดวงตาใส จะชวนใจอ่อนยวบแค่ไหน แต่ยังไงการปกปิดตัว คนจริง ๆ เอาไว้ก็ต้องมาก่อน หากความลับถูกเปิดเผย บางทีความรักที่เจ้าเหมียวโปโปะเคยได้รับอาจแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละขั้ว เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อน-


    ทาเคชิสะบัดหัว ขับไล่ความคิดด้านลบออกไป ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องในอดีตอีกแล้ว


    พอตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องคิด ใบหน้าเล็กของเด็กสาวก็พลันแล่นเข้ามา


    "จริง ๆ ก็เป็นคนน่ารักมากเลยนี่นา"


    พิมพัมกับตัวเองพร้อมยกยิ้ม ก็มาซากิ ฮารุโกะที่เขาได้เห็นน่ะ เป็นคนที่อ่อนโยน ใจดี แล้วก็ขี้เหงาตั้งขนาดนั้นเลยนี่นา แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนลูกแมวตัวเล็กอย่างนั้นแหละ เวลาที่ดีใจแบบนั้นก็ทําเอาอดเอ็นดูไม่ได้


    -พลันนึกถึงใบหน้าเล็กเปื้อนยิ้ม รอยยิ้มเล็ก ๆ น่ารัก น่ารักเสียจนนึกเสียดาย ที่ไม่ค่อยจะได้ เห็นมันจากเจ้าตัวสักเท่าไหร่


    ถ้ายิ้มได้บ่อย ๆ ก็คงดี


    ยกขาสองข้างขึ้นมานั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ เหม่อมองคืนที่เงียบสงัดผ่านหน้าต่างใส รู้สึกเหงา ขึ้นมานิดหน่อย ทาเคชิจำไม่ได้แล้วว่าบ้านที่ตัวเองเคยอาศัยตอนเด็กนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ที่จำได้ก็มีเพียงความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวตอนที่ถูกส่งออกมา


    แม้ทางเทคนิคเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่อยู่กับคุณตาผู้เป็นญาติห่าง ๆ ฝั่งแม่ คุณตาใจดี คอยช่วยเหลือและสนับสนุนเขาในทุกเรื่อง มีเพื่อนพ้องอีกหลายคนที่พร้อมจะยืนอยู่ด้วย


    ทว่าในใจกลับเวิ้งว้าง ราวไม่มีใครสักคนที่หันมองไปเห็น ไม่มีใครสักคนที่จะให้แบ่งปันความเจ็บปวด


    จะมีก็เพียงแต่กำแพงอิฐล้อมรอบ กําแพงสูงที่ บางที...เขาคงก่อมันขึ้นมาเอง


    ไม่รู้สิ ทาเคชิไม่คิดว่าตัวเองเหมาะจะมีเพื่อนสักเท่าไร เขาไม่กล้าจะเข้าไปเป็นเพื่อนกับใครก่อน ไม่คิดว่าตัวเองทีเป็นตัวประหลาดแบบนี้จะมีสิทธิ์เป็นเพื่อนกับใครเขาด้วยซ้ำ


    ก็เพื่อนทุกคนที่เคยมี พอรู้ความจริงเข้าก็— 


    พอแล้ว ไม่อยากคิด


    ทาเคชิถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกระต่ายที่จะเฉาตายยามเหงาอย่างไรอย่างนั้น เด็กหนุ่มรู้ดีว่าความเหงาน่ะเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีแค่ฮารุโกะที่เหงา- เขาก็เหงา ยังไงเสียความเหงาเป็นอารมณ์ ความรู้สึกปกติทั่วไปของมนุษย์อยู่แล้ว


    แต่เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ก็เลยเข้าใจว่าความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวที่เด็กสาวต้องเผชิญมันเป็นเช่นไร ราวกับเห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนไหล่เล็กทีโดดเดี่ยวนั่น เลยอยากจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง จะในฐานะเจ้าเหมียวโปโปะ หรือ คุโระ ทาเคชิ หากช่วยให้อีกคนยิ้มออกมาได้จากเบื้องลึกของหัวใจ เขาก็คงยินดี


    อยากจะช่วยให้ยิ้มออก อยากจะเป็นเพื่อนด้วย


    เพราะเหตุผลประหลาด ๆ และความรู้สึกแสนย้อนแย้งในตัวเอง ทาเคชิไม่เคยเข้าหาใครก่อน เพื่อน ๆ ทุกคนที่มีตอนนี้ล้วนแต่เป็นฝ่ายเริ่มหยิบยื่นไมตรีมาให้


    นี่จึงจะเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เขาจะเข้าหาและเป็นเพื่อนกับใครก่อน รวมทั้งอยากจะสารภาพความในใจ


    "ตอนที่ไปขอโทษ คุณมาซากิ..จะยิ้มหรือเปล่านะ?"





    ทั้ง ๆ ที่ตัดสินใจว่าจะไปขอโทษอีกคนด้วยแล้ว


    พอถึงเวลาจริงมันกลับไม่ง่ายเลย


    "คุณมาซากิ ตอนนี้ก็คงอยู่ในห้องเรียนแล้ว"


    พิมพัมเสียงแผ่วแล้วพ่นลมหายใจออกมา สองขา หยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง มือชะงักนิ่ง ไม่กล้าจะเปิดมันเข้าไป ทาเคชิรู้สาเหตุดี เป็นเพราะความรู้สึกประหม่าที่เกิดขึ้นมาในอกแน่แท้ ก็นะ สําหรับเขาแล้ว จนถึงเมื่อวานนี้ คุณมาซากิก็คือคนที่เขาไม่อยากเผชิญหน้าด้วยนี่นา...


    ถึงจะได้รู้ว่าจริง ๆ จะไม่ใช่คนน่ากลัวอะไรก็เถอะ แต่ให้มาเปลี่ยนในวันสองวันอะไรแบบนั้น มันก็ไม่ใช่จะง่ายเหมือนพลิกหน้ากระดาษเสียหน่อย


    "อ๊ะ ทาเคชิคุงอรุณสวัสดิ์"


    แล้วเสียงใสของเด็กสาวเพื่อนสนิทก็ดังขึ้นจากด้านหลัง หยุดความคิดฟุ้งซ่านในหัวเด็กหนุ่มจอมคิดมาก ไหล่ของอิชิคุสะดุ้งน้อย ๆ ด้วยความตกใจ จนสมองประมวลผลได้ว่าคนเรียกไม่ใช่ใครอื่น ก็หันไปทักทาย อีกคนพร้อมรอยยิ้ม


     “คุณคานาเอะ อรุณสวัสดิ์ครับ"


    "ไม่เข้าไปเหรอ? "


    ริโกะพยักหน้าพร้อมเอียงคอถามคนที่ยืนนิ่ง อยู่หน้าห้องตั้งนานสองนาน ทาเคชิอึกอักเล็กน้อย 


    เพราะกังวลก็เลยคิดฟุ้งซานไปเรื่อย..


    แต่ยังไงเขาก็อดกังวลและประหม่าไม่ได้จริง ๆ


    คงเพราะไม่รู้จะหาตัวอย่างไร และไม่รู้ว่าอีกคน จะตอบรับกลับมาเช่นไร


    ความกังวลถึงได้ล้นเอ่อขนาดนี้


    ทาเคชิเดาไม่ออก


    ตลอดมา ระหว่างเขากับเด็กสาว มันมีระยะห่างระหว่างกันอยู่เป็นระยะที่ไกล- และทาเคชิก็เคยพึงพอใจกับระยะห่างนั่น เขาเคยคิดว่าคุณมาซากิเองก็คงเป็นเช่นเดียวกัน จนกระทั่งได้รับรู้เรื่องราว ได้สัมผัสความเหงา ความเศร้า ความโดดเดี่ยวที่อีกคนแบกไว้บนบ่า 


    จึงได้รู้ว่าแท้จริง มาซากิ ฮารุโกะ ก็แค่เด็กสาว มัธยมปลายขี้เหงาคนนึง


    ทั้งที เหงาขนาดนั้น แต่ก็เว้นระยะห่างจากทุก คน ไม่สนิทกับเพื่อนร่วมห้องคนใหนนอกจากไดจิ มิหนำซ้ำยังแผ่รังสีไม่ต้องมายุ่งออกมาจนคนอื่นขวัญกระเจิงหมดอีกต่างหาก...


    พอรู้แบบนั้น ก็ชวนให้นึกถึงลูกแมวขี้เหงาแต่ไม่ ค่อยคุ้นชินกับคนขิ้นมาเลยละ


    คิดแล้วก็น่าตลกดีจัง ทั้งที่คนที่กลายร่างเป็นแมวได้คือเขาแท้ ๆ


    แต่ตนไปรู้สึกว่าคนอื่นเหมือนแมวชะได้


    ทาเคชิหลุดหัวเราะออกมาน้อย ๆ กับความคิดในหัวจนมิวายเพื่อนสนิทข้างตนเป็นต้องสงสัย

 

    “มีอะไรหรือเปล่า อิชิคุง?"


    "อ้ะ เปล่าครับ เข้าไปกันเถอะ”


    คนผมดำร้องตอบก่อนส่งยิ้ม มือจับบานประตู หมายมั่นจะเปิด


    ถ้าครั้งนี้—


    ถ้าครั้งนี้เขาตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้อีกสักหน่อย......


    ลูกแมวตัวนั้นจะมีปฏิกิริยายังไงกันนะ


    อ้าว?


    ไม่อยู่แฮะ?


    ดวงตาหยาดน้ำค้างกวาดมองไปทั่วห้องเรียนหมายจะหาเด็กสาวดวงตาใส แต่ก็ไว้ซึ่งวี่แววของคนตัวเล็ก เด็กหนุ่มได้แต่ก้าวขาเดินไปยังที่นั่งของตัวเอง แบบงุนงง


    แขวนกระเป๋านักเรียนกับโต๊ะ ความสงสัยป่นกับ ความกังวลแล่นขึ้นมา


    เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?


    สงสัยแบบนั้น โดยปกติเวลานี้ ฮารุโกะมักจะมานั่งที่โต๊ะของตัวเองแล้ว แถมนี่เองก็ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้วด้วย

 

    หรือว่าจะป่วย?


    “ไดจิคุง วันนี้คุณมาซากิไม่มาเหรอ?"


    ไม่รอช้าลุกเดินไปถามไดจิ เพื่อนร่วมห้องตัวสูงผู้เป็นทั้งหัวหน้าห้องและเพื่อนสนิทของฮารุโกะ ไดจิหันมองมาตามเสียงเรียก ดันแว่นเล็กน้อยให้กระชับกับกรอบหน้าก่อนเอ่ยตอบ


    “อ๋อ มาซากิคุงมาแล้วน่ะ แล้วก็ออกไปไหนไม่รู้"


    "เห็นบอกว่ามีธุระ จะรีบกลับมาก่อนโฮมรูมน่ะ”


    "ตอนออกไปก็ รีบร้อนพอตัวเลยละนะ"


    ทาเคชิพยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับพร้อมกล่าวคำ ขอบคุณ หยาดน้ำค้างคู่สวยหันมองไปที่ประตูอีกครั้ง ว่างเปล่า จากนั้นก็ถอนหายใจ-


    ดูเหมือนเรื่องที่อยากจะคุย คงต้องเลื่อนออกไป ก่อนเสียแล้ว





    คุณมาซากิกลับมาตอนที่คาบโฮมรูมเริ่มพอดิบ พอดี


    ทาเคชิไม่มีโอกาสแม้แต่จะลุกไปหาเด็กสาวตัวเล็ก ระหว่างคาบเองก็ไม่มีจังหวะเหมาะ ๆ พอจะให้เข้าไปคุยกับอีกคน แต่พอถึงช่วงพักกลางวัน หันหลังกลับไป เด็กสาวก็ดันไม่อยู่แล้วซะอย่างนั้น


    พอคราวอยากเจอ จับตัวยากยังกับหายตัวได้เลยนะ


    คนตัวสูงได้บ่นงุบงิบอยู่ในใจขณะที่สองเท้ายังคง กึ่งเดินกึ่งวิ่ง หยาดน้ำค้างคู่สวยมองไปทั่วหมายจะหาเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล เขากำลังเดินตามหา มาซากิ ฮารุโกะ คนนั้นอยู่นั่นละ


    จะรีบไปไหนของเธอกันนะ?


    อะ นั่นไง เจอตัวแล้ว


    ชะลอฝีเท้าเมื่อสายตาปะทะเข้ากับเด็กสาวที่กำลังตามหา มองอีกคนทรุดตัวลงนั่งที่หน้ากล่องระ เกะระกะบริเวณมุมอาคารเรียน ได้แต่นึกสงสัยในใจว่า อะไรคือสาเหตุที่ทําให้มาซากิ ฮารุโกะต้องรีบลุกออกจากห้องเรียนมาถึงขนาดนั้น


    “เท่านี้ก็กินได้แล้วละ...”


    ได้ยินเสียงนุ่มดังบอกพร้อมวางถ้วยใส่นมลงเบื้อง หน้าตน ทาเคชิขมวดคิ้ว พอลองจ้องเข้าไปที่เบื้องหน้าคนตัวเล็กนั่น ก็เห็นลูกแมวสีขาวนั่งอยู่ในกล่องกระดาษที่เพียงพอจะให้เป็นรังเล็ก ๆ สำหรับเจ้าเหมียวตัวน้อยได้


    เห็นแบบนั้น เด็กหนุ่มผมดำก็หลุดยิ้มออกมานิดหน่อย


    เหตุผลที่รีบร้อนออกมาจากห้องเรียนขนาดนั้น


    คือลูกแมวนี่เอง


    "ไม่กินเหรอ?"


    "หรือว่าลูกแมวจะไม่ชอบกินนม"


    คนตัวเล็กบ่นพึมพัม ดวงตาสีใสมองนมสีขุ่นใน ถ้วยสลับกับลูกแมว ก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นพร้อมร่างสูง ทรุดลงนั่งข้างกาย


    “เปล่าหรอกครับ”


    “เจ้าเหมียวน้อยตัวนี้กำลังกลัวน่ะ"


    ทาเคชิเอ่ยขณะย่อตัวลงนั่งกอดเข่าที่ข้าง ๆ คนตัวสูง แววตาสีสวยสบสายตากับฮารุโกะครู่หนึ่ง แล้วหันไปหาแมวน้อยตัวสีขาวพร้อมรอยยิ้ม


    “ไม่ต้องกลัวหรอกนะ”


    "เธอคนนี้ไม่ทำอะไรเธอหรอก”


    บอกแบบนั้นด้วยเสียงทุ้มนุ่นอ่อนโยน คนผมดำรู้ว่าถ้าเป็นเขาพูดล่ะก็ เจ้าเหมียวตัวน้อยคงจะเข้าใจและคลายความกลัวลง และก็อย่างที่คาด ลูกแมวสีขาวค่อย ๆ ก้าวออกมาจากลังกระดาษ ก้มลงกินนมจืดที่ฮารุโกะเทเอาไว้ให้


    "นายคุยกับแมว?"


    ฮารุโกะถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทาเคชิสะดุ้งเฮือก


    "อ๊ะ เอ๊ะ เอ่อ ผม...”


    แย่ละสิ


    ลืมตัวไปเลย...


    ถ้าความไม่แตกก็ถูกมองว่าเป็นคนประหลาดแหง


    "แค่พูดไปเรื่อยน่ะครับ"


    ว่าจบก็หัวเราะแห้ง ๆ กลบเกลื่อน ดวงตาสีสวย หลุบมองต่ำ แอบเหลือบสังเกตคนข้างกายด้วยแววระแวดระวัง


    ไม่ได้ ความจะแตกไม่ได้ จะโดนมองว่าประหลาด ก็ได้ แต่ความจะแตกไม่ได้


    "นั่นสินะ”


    "จริงๆ ฉันสามารถสื่อสารกับสัตว์วิเศษได้น่ะ แต่กับสัตว์ทั่วไปแบบนี้ ฉันกับสื่อสารไม่ได้ซะงั้น"


    คนตัวเล็กตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนเธอจะยิ้มออกมา น้ำเสียงนุ่มเย็นเฉกเช่นมันเป็นเรื่องปกติ ขณะที่มือเรียวยกลูบหัวลูกแมวตัวเล็กตรงหน้าอย่างแผ่วเบา


    "เอ๊ะ? "


    "กับแมวที่บ้าน ฉันก็สื่อสารไม่ค่อยได้น่ะ แต่เหมือนมันจะเข้าใจฉันมากกว่านะ"


    "อ้อ...เอ๋!?"


    ทาเคชิส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจนิดหน่อย ใครจะไปคิดว่าเธอจะบอกความสามารถพิเศษตัวเองตรงๆ แบบนี้ 


    ทาเคชิผ่อนลมหายใจออกด้วยความโล่งอก ดูเหมือนอีกคนจะไม่ได้มองว่ามันแปลกหรือประหลาด ความกังวลที่โผล่ขึ้นในหัวของเด็กหนุ่มจอมคิดมากจึงถูกชะล้างไป


    "เอ่อ...คุณมาซากิ บอกผมแบบนี้จะไม่เป็นอะไรหรอครับ"


    "ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่า ฉันสามารถบอกเรื่องนี้กับนายได้"


    แล้วก็เงียบ... ความเงียบชวนอึดอัดโรยตัวลงมา ปกคลุม ไร้ซึ่งเสียงใดระหว่างเขาสองคน ทาเคชิอึกอักลังเลที่จะเอ่ยปากพูดออกไป หยาดน้ำค้างคู่สวยชำเลืองมองใบหน้าเล็กของอีกคน -ใบหน้าเรียบนิ่งยากจะคาดเดาความคิด


    รู้สึกว่าทุกคำที่จะเปล่งเสียงนั่นหนักเหลือเกิน อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะมาคุยกับคุณมาซากิให้รู้เรื่อง แต่พอถึงเวลาจริงกลับลังเล...


    ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนข้างกายไม่ได้น่ากลัวหรือมี พิษมีภัยอะไรอย่างที่เคยคิดเลยสักนิด


    ทั้งที่รู้แบบนั้นแท้ ๆ แต่ทำไม.


    ไม่สิ


    ไอ้ที่ว่ารู้ว่าแท้จริงคุณมาซากิเป็นคนยังไง มันคือ ตอนที่เธอคนนี้อยู่กับโปโปะ


    แต่กับคุโระ ทาเคชินั่นมันก็อีกเรื่อง


    แม้จะรู้ว่าอีกคนไม่ได้มีเจตนาร้ายและหมายจะผูกมิตรด้วย แต่มันก็ยังอึดอัด...และลังเลที่จะพูด


    บางทีอาจเพราะทาเคชิกำลังกลัว


    ที่ผ่านมาเขามักจะเว้นระยะห่างกับทุกคนรอบตัว เสมอ ไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะกลัวว่าหากมันใกล้เกินไป ใกล้พอที่เขาอยากจะรักษาและยึดเหนี่ยวความสัมพันธ์เหล่านั้นไว้ ถ้าคนเหล่านั้นเกิดรู้ความจริงของเขาเข้าก็จะรังเกียจ จะกลัว และจะเปลี่ยนไป


    ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาที่ประสบพบ ได้ในหนึ่งชั่วชีวิตของมนุษย์ บางทีมันก็เหมือนสายลม โชยอ่อน พัดผ่านมาทักทายและหายจากไป แต่บางครา มันก็เหมือนพายุโหมกระหน่ำ รุนแรง สาดซัด เมื่อเคลื่อนจากไปก็ทิ้งเอาไว้ซึ่งบาดแผล และทาเคชิกลัวความเปลี่ยนแปลงที่เหมือนกับพายุนั่น


    หากคุณมาซากิเกิดได้รู้ความลับและความจริง ของเขาล่ะ?


    ความจริงที่ว่าเขาเป็นครึ่งคนกลายเป็นแมวได้... แถมยังเป็นแมวที่ตัวเองเก็บไปเลี้ยง


    จะกลัวหรือเปล่า?


    จะรังเกียจหรือเปล่า?


    จะทอดทิ้งเขาไว้หรือเปล่า?


    ถ้าได้เป็นเพื่อนกัน เขาจะต้องเสียเพื่อนไปหรือเปล่า?


    เรื่องแบบนั้น ทาเคชิกลัวมันไปทุกส่วนของหัวใจ


     เพราะเคยสูญเสียมาแล้ว จึงไม่อยากจะสูญเสียไปอีก


    ไม่ได้รับแต่แรกเลยยังจะดีกว่า


    “คุโระคุง”


    เด็กสาวตัวเล็กเอ่ยเรียกหลังจากรวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยคำขอโทษกับอีกคน ดวงตาสีใส หันไปข้างกายที่รับรู้ว่ามีอีกคนอยู่ แต่เมื่อมองไปก็พบเพียงความว่างเปล่า


    ทาเคชิไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว





    ทาเคชิถอนหายใจ


    ทั้งที่รวบรวมความกล้าไปจนนั่งข้าง ๆ อีกคนได้ แต่สุดท้ายก็วิ่งหนีออกมาก่อนจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง


    เพราะความกลัวในวินาทีสุดท้าย 


    จู่ ๆ ก็เกิดกลัวขึ้นมาซะอย่างนั้น ไร้สาระสุด ๆ เลยเนอะ


    ทั้งที่ตั้งใจแล้วแท้ ๆ เลยนะว่าอยากจะขอโทษแล้ว -เป็นเพื่อนกัน


    แต่ก็- นั่นละ เป็นความรู้สึกที่แสนย้อนแย้ง อยากจะเป็นเพื่อนด้วย แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะได้รับหรือหยิบยื่นไมตรีไปให้ใคร


    ไม่เข้าใจเลยสักนิด


    "น่าสมเพชจริง ๆ คุโระ ทาเคชิ”


    พึมพัมงุบงับท่ามกลางห้องเรียนเวลาพักกลางวัน ปฏิเสธมื้อกลางวันกับคุณคานาเอะไปเพราะตั้งใจจะไปตามหาและขอโทษฮารุโกะ แต่สุดท้ายก็จบลงที่วิ่งหนีออกมาซะอย่างนั้น


    "โธ่เอ๊ย น่าหงุดหงิดชะมัด"


    ว่าแบบนั้นแล้วก็จะเอาหัวโขกกับโต๊ะแข็ง แต่สัมผัสที่ได้กลับไม่ใช่ความรู้สึกเจ็บเพราะหัวกระแทก แต่เป็นสัมผัสของมือที่มารองหัวเอาไว้ไม่ให้โดนโต๊ะ


    ทาเคชิเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของมือแบบงง ๆ


    “ทำแบบนั้นเดี๋ยวก็เจ็บหรอก”


    เสียงที่คุ้นเคยดังบอก ดวงตาสีฟ้าสวยเบิกกว้าง เมื่อคนตรงหน้าคือผู้ที่เขาวิ่งหนีมา –มาซากิ ฮารุโกะ


    "ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม? *


    ฮารุโกะถามแบบนั้น ทาเคชิพยักหน้าหงิกหงัก ก้มหน้างุดเพราะความอาย ก็โดนเห็นตอนทำตัวแปลก ๆ ชะได้นี่นา


    พอเห็นท่าทางตอบรับจากอีกคน เด็กสาวตัวเล็กก็ลากเก้าอี้มานั่งที่ฝังตรงข้ายโต๊ะของทาเคชิ


    ทาเคชิอีกอัก เขาทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไร ฮารุโกะนั่งนิ่ง ส่วนเขาก็เหลือบมองอีกฝ่ายอยู่เป็นระยะ ๆ


    ในหัวเริ่มอยากจะวิ่งหนีอีกสักรอบแล้วสิ


    “นี่ คุโระคุง”


    จนเป็นฮารุโกะที่เอ่ยปากทําลายความเงียบก่อน เจ้าของชื่อตอบรับทันควันเหมือนปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติ คนตัวเล็กหันมาด้วยสีหน้าซึม ๆ พร้อมดวงตาเขียวขจีใสสบเข้ากับดวงตาหยาดน้ำค้างของเยา


    "ขอโทษนะ"


    คําขอโทษเสียงอ่อยดังจากริมฝีปากของเด็กสาว แววตาเรียบนิ่งทว่าซื่อตรงเจาะลึก เข้ามาในใจ ทาเคชิชะงักงัน ทำเพียงแค่จ้องใบหน้าได้รูป นั่นแล้วรับฟังนิ่ง ๆ เท่านั้น ทั้งความคิด ความกังวล ความกลัว ทุกอย่างที่เคยฟุ้งกระจายอยู่ในหัวบัดนี้ กลับสงบลงไปราวถูกสะกด จนคนตัวสูงนักประหลาดใจ


    "ทั้งเรื่องที่ทำให้นายอึดอัด เรื่องลากนายไปคุยด้วยทั้งทีนายไม่สบายใจ"


    “ทุกเรื่องเลย ขอโทษนะ"


    ทาเคชิไม่ได้เปล่งเสียงใดตอบรับ เพียงแต่ฟังเด็กสาวตรงหน้าเอ่ยอยู่เงียบ ๆ


    "จริง ๆ แล้ว อืม..."


    "ฉันไม่ได้ไม่ชอบหรือเกลียดคุโระคุงหรอก"


    คนพูดอึกอัก เสียงเงียบลงไปราวกำลังควานหาคําพูดที่อยากจะเอื้อนเอ่ย


    "อยากเป็นเพื่อนด้วยน่ะ"


    เอ่ยออกมาแบบนั้นแล้วดวงตาสีใสที่สบกันอยู่ก็หลบต่ำลงไป ทาเคชิสังเกตเห็นมือข้างนึงของฮารุโกะ ฝ่ามือที่กำเข้าหากันแน่น ท่าทางนั่นราวกับกำลังระงับความประหม่าและความกังวลนะ


    แล้วทาเคชิก็ได้เข้าใจ


    ไม่ใช่เขาคนเดียวที่กังวลและวิตกกับเรื่องแบบนี้


    คุณมาซากิเองก็กำลังรู้อีกกังวลไม่ต่างกัน


    “แต่ที่ผ่านมาคงทำให้เข้าใจผิดไปไกลเลยสินะ"


    “ถ้านายจะรู้สึกเกลียดฉันล่ะ ฉันก็เข้าใจ..."


    "จากนี้ก็ต่างคงต่างอยู่แบบที่คุโระคุงบอกนั่นละ ดีที่สุด"


    “ฉันคงไม่เหมาะจะเป็นเพื่อนกับใครหรอก"


    สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่เจืออยู่ในน้ำเสียง เจ้าของเรือนผมดำลนลานกับท่าทีเหมือนกับแมวหงอยเช่นนั้น ลองได้เห็นอีกคนทำหน้าแบบนี้แล้ว ใครมันจะใจร้าย เกลียดได้ลงกันเล่า


    ถึงไม่ได้คิดจะเกลียดอะไรอีกคนอยู่แล้วก็เถอะ


    แต่ท่าทีแมวหงอยชวนใจอ่อนแบบนั้นมันขี้โกง ชะมัดเลย!


    “ไม่เลยครับ มะ ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ”


    “ตอนนั้นผมเข้าใจผิดนี่นา ผมก็ไม่ได้เกลียดคุณมาซากิเลยนะ"


    "โทษนะที่พูดจาแบบนั่นใส่ ตอนที่ดาดฟ้า"


    "ขอโทษนะ ที่บอกไม่เหมาะจะเป็นเพื่อนกับใครนั่น อย่าคิดแบบนั้นเลย"


    ทาเคชิตอบกลับ ก่อนจะหลบสายตาลงอย่างรู้สึกผิด กระนั้นก็ยังแอบชำเลืองมองคนเบื้องหน้าด้วย อยากจะรู้ท่าตอบกลับของฮารุโกะ สิ่งที่พบคืออีกคนเองก็กำลังทําหน้าไม่ต่างกันจากเขา


    "ไม่หรอก ฉันผิดเองทั้งหมดนั่นละ คุโระคุงอย่าขอโทษเลย"


    ฮารุโกะพูดตอบกลับมาด้วยความรู้สึกผิดเช่นเดียวกัน ในหัวพลันย้อนนึกถึงวันแรกที่ได้เจอกับเพื่อนร่วมห้องตัวสูงคนนี้ แต่พออีกคนได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นมาพรวดพราด พร้อมสีหน้าไม่พอใจ


    "ไม่ใช่สักหน่อย ผมก็ผิดเหมือนกัน อย่าโทษตัวเองคนเดียวสิครับ”


    "ทั้งเข้าใจเธอผิด แถมยังพูดจาไม่ดีใส่ จะบอกว่าผมไม่ผิดได้ยังไง"


    “ก็บอกแล้วไงว่าฉันต่างหากที่ผิด


    "ลากนายขึ้นไปทั้งทีนายไม่สบายใจจะคุยด้วย นายจะโมโหไล่ก็ไม่แปลกนี้ ดูยังไงก็ฉันก็ผิดเต็ม ๆ"


    คนผมดำบอกพร้อมทำหน้ามุ่ย ส่วนฮารุโกะก็ปฏิเสธสหน้าซึม ไม่ว่าจะนึกยังไง เรื่องในวันนั้นก็เป็นความผิดของเธอเต็มประตู


    "คุณมาซากิไม่ต้องพูดเลยนะครับ! ไม่ต้องทําหน้าเศร้าเลยด้วยนะ! ผมเองก็ผิด"


    แต่ทาเคชิไม่ยอม- คิ้วสองข้างขมวดเป็นปมใหญ่ แถมใบหน้าเด็กหนุ่มก็ดูไม่ลดละสุด ๆ ราวกับจะย้ำว่าตนก็ผิดเช่นกันกับเขาให้ได้


    ดวงตาสีสวยจ้องเขม็งจนฮารุโกะรู้สึกทำตัวไม่ถูก เหมือนกับถ้าเขาไม่ยอมรับว่าอีกคนก็ผิด เจ้าตัวก็จะไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้อย่างนั้นละ ซึ่งฮารุโกะไม่เข้าใจเลย


    ไม่เห็นต้องมารู้อีกผิดด้วยเลยนี่นา จะกล่าวโทษเธอต่อก็ได้ที่ทำตัวแบบนั้นใส่ ไม่มีใครมาว่าหรอก


    "อ๊ะ.."


    "อะ.."


    จนเสียงอุทานสองเสียงดังขึ้นเบา ๆ เมื่อเด็กสาวรู้ว่าตัวเองกำลังทําอะไร ขณะที่ดวงตาสองคู่กำลังสานประสบ ชั่ววินาทีนั้นมีเพียงความเงียบ และพวกเขาเพียงสองคนเท่านั่น


    "อุ๊บ ฮะ ๆ  ฮ่า ๆ !"


    แล้วก็เป็นทาเคชิที่หลุดหัวเราะออกมาก่อน การเถียงเริ่มต้นและจบลงอย่างรวดเร็ว ฮารุโกะมองเพื่อนร่วมห้องผมดำที่ขำจนน้ำตาเล็ด


    “กลายเป็นว่า ทั้งเธอทั้งผม ดันมาเกี่ยงกันยอมรับผิดชะอย่างนั้น"


    “พอได้พูดออกไปจนหมด ก็ทำเอาซะที่กังวลก่อน หน้านี้กลายเป็นเรื่องคิดมากไปเลยน้า..."


    ทาเคชิบ่นพลางปล่อยยิ้มอย่างสบายใจ มือยกเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาเบา ๆ ราวเรื่องที่ปั่นป่วนอยู่ในหัวถูกปลดปล่อยออกไปจนหมดกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่


    ไม่รู้ว่าเป็นการมองโลกในแง่ดีหรือไร แต่ทาเคชิสัมผัสได้ถึงความรู้สึกใหม่ในอก


    หัวใจที่เต้นตึกตัก เลือดสูบฉีด กับกรามที่ปวดหน่อย ๆ เพราะการเถียงชวนหัวร่อนั่น


    ความรู้สึกนั้นร้องบอกจากด้านในลึก ๆ ว่าไม่เป็น ไร


    แม้ว่าความสัมพันธ์นี้จะต้องประสบกับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงในสักวัน ขั้นเลวร้ายที่สุดก็กลายเป็นแบบที่เขาหวาดกลัว แต่นั่นก็ไม่เป็นไร


    บางทีมันอาจเป็นเพียงแค่ความคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เขาก็อยากจะสนุกกับช่วงเวลานี้


    ในตอนนี้ทาเคชิรู้เพียงแค่ว่าเขาอยากจะใช้เวลาสนุกสนานไปกับฮารุโกะอีกเท่านั้น และบอกความในใจนั้นออกไป


    เพราะแบบนั้นเรื่องที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าน่ะ ช่างมันเถอะ


    "ขำอะไรของนายน่ะ...."


    ฮารุโกะถามขึ้นมองคนตัวสูงฝั่งตรงข้ามที่กำลังหัวเราะร่า ได้ยินแบบนั้นทาเคชิก็ร้องขึ้นมาเสียงหลง


    "หา? เดี๋ยวสิ พูดแบบนั้นแต่คุณมาซากิก็ยิ้มอยู่ ไม่ใช่หรือไงครับ!"


    "เหรอ ฉันยิ้มเหรอ? ".


    "ใช่สิ เธอยิ้มชัด ๆ เลยนะ!"


    "ไม่ได้ยิ้มสักหน่อย"


    พอได้ยินคำทวนถามเหมือนไม่รู้ตัวนั่นแถมยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มขัดกับคําพูดอีก คนผมดำมุ่ยหน้าจนคิ้วย่น นี่มันแกล้งไม่รู้ชัด ๆ เลยเถอะครับ! ทำมาเป็นคีพคูลไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องเมื่อครู่ ทั้งที่ตัวเองก็ยิ้มออกมาเห็น ๆ


    แล้วทาเคชินึกขึ้นมาได้


    หรือจะกลัวเสียฟอร์มนะ


    แบบคุณมาซากิในเวลาปกติน่ะ มักจะให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสมอ ๆ เย็นเฉียบจนรู้สึกเหมือนโดนแช่แข็งเพียงแค่เผลอไปสบตา ถึงเจ้าตัวจะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักในหมู่สังคมของนักเรียน ก็ถึงขั้นทีวันไวท์เดย์ ตู้รองเท้าแน่นเอี๊ยดเพราะช็อกโกแลตถูกใส่เต็มตู้ขนาดนั้นเลยละ เรียกง่าย ๆ ก็เป็นสาวฮอตพอตัว ทาเคชิรู้ด้วยว่าอีกคนมีฉายาอีกอย่างเจ้าหญิงน้ำแข็งอะไรทำนองนั้น


    กลัวจะเสียฟอร์ม ก็เลยต้องคูลเอาไว้สินะ


    เข้าใจละ โธ่เอ๊ย น่ารักจริง ๆ


    “นี่ไง! ตอนนี้ก็ยังไม่หุบยิ้มเลย ถ้าเธอไม่เชื่อล่ะก็ ผมจะถ่ายรูปให้ดูเลย"


    ทาเคชิบอกเสียงเจื้อยแจ้วพร้อมจ้องใบหน้าเล็กประดับยิ้มอ่อนโยนนั่น จนกระทั่งรู้ตัวว่าดวงตาเขียวขจีคู่นั้นกำลังจับจ้องมา


    “คุโระคุง ไม่กลัวฉันแล้วงั้นเหรอ? "


    เอ่ยถามด้วยความสงสัยหลังเห็นท่าทีที่ดูผ่อนคลายต่างจากตอนแรกของอีกคน ทาเคชิหันมองคนถาม ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะฉีกยิ้ม


    “อื้อ จะว่าไปก็ไม่กลัวแล้วละ"


    “แบบว่า จริง ๆ แล้ว...เธอไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผม คิดนี่นา"


    "เป็นคนน่ารักสะมากกว่าด้วย"


    คนโดนชมมีใบหน้าแดงระเรื่อน้อย ๆ นั้นทำให้ทาเคชิรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ก่อนจะละลักละลำหาคำอธิบาย


    “เอ่อ ผม- ผมหมายถึง- ...แบบมันน่ารักในแบบปกติน่ะครับ เอ่อคือ- ก็น่ารักนั่นแหละครับ อ้าก ผมพูดอะไรเนี่ย!"


    "อุ๊บ- "


    เสียงร้องหลุดหัวเราะที่ดังออกมาจากคนตัวเล็กยิ่งทำให้ทาเคชิอยากเอาหน้ามุดดิน นี้เผลอทำตัวซื่อบื้ออีกแล้ว 


    "จะพูดออกมาตรง ๆ ก็ได้นี่นา ไม่ต้องพยายามแก้หรอก ฉันก็แค่- ไม่ค่อยโดนคนอื่นชม นอกจากพ่อกับพี่สาวพี่ชายฉันน่ะ ฉันก็เลยเขินนิดหน่อย"


    บอกพร้อมกับหลบสายตาของทาเคชิ ท่าทางแบบนั้น ยิ่งทำให้เด็กสาวตรงหน้าน่ารักเข้าไปอีก


    ไม่น่าเชื่อ ว่าเราจะได้เห็นคุณมาซากิ ในมุมน่ารักแบบนี้ 


    น่ารักเป็นบ้าเลย


    "เอ่อ...ครับ อืม..."


    บรรยายกาศความประหม่ากลับมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้แย่เหมือนก่อนหน้า แค่ต่างคนต่างเขิน จนไม่กล้าคุยหรือสบตากัน


    "เอ่อ... แล้วก็... อ่า"


    เด็กสาวอัมอึ้งเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เหมือนไม่กล้าพูดออก


    "คุณมาซา-"


    "ช่วยเรียกฉันว่า ฮารุโกะ! -ทีนะ..."


    เสียงที่ดังสวนกลับมา ก่อนที่จะเบาลง เหมือนไม่มั่นใจในคำพูด น่ารักจัง


    "ครับ.."


    "เอ่อ ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไร"


    "แน่ใจนะครับ ฮารุโกะจัง"


    ในตอนนี้ฮารุโกะสัมผัสได้ว่า หน้าตัวเองคงเหมือนมะเขื่อเทศแน่ ๆ 


    อะไรกัน คุโระคุงแบบบนี้ เหมือนไม่ใช่คุโระคุงที่รู้จักเลย ฮารุโกะรู้สึกเขินเกินจะมองหน้าทาเคชิตรง ๆ จึงฟุบหน้าตัวเองลงกับโต๊ะ


    "อะไรไปครับ ฮารุโกะจัง งั้นฮารุโกะจังก็เรียนผมว่า ทาเคชิคุงนะครับ"


    ทาเคชิที่เห็นฮารุโกะเขินอาย ก็รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมา จึงเอามือเท้ากับโต๊ะ แล้วบอกให้เธอก็เรียกชื่อตนเหมือนกัน ฮารุโกะเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะส่งเสียงตอบ


    "ทาเคชิคุงขี้โกง"


    บอกด้วยน้ำเสียงติดงอแง  แล้ววันนี้ทาเคชิก็ได้รู้เรื่องฮารุโกะอีกอย่างนึงคือ ความขี้อายของฮารุโกะ เขาเองก็ยังแปลกใจที่อีกคนก็มีด้านนี้กับเขา 


    เฮ้อ จริง ๆ สินะ มันจะมีใครที่ตกหลุมรักคนเดิมซ้ำ ๆ ได้อีกไหม


    ยิ่งรู้จักก็ยิ่งชอบมากกว่าเดิม เขาน่าจะเป็นเอามากเลยนะ แต่คนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ก็นั่งอยู่ตรงหน้านี้ไง ทาเคชินึกถึงเรื่องฮารุโกะในหัว พลัน-


    นึกถึงภาพฉากการเจอกันวันแรกระหว่างเขา (ตอนเป็นแมว) กับฮารุโกะจังก็ไหลย้อนเข้ามาในหัวเหมือนกรอกเทป ทาเคชิสะบัดหัวหมายจะไล่เหตุการณ์ ปั่นป่วนชวนน่าอายนั่นออกไป แค่นึกขึ้นมาว่าตัวเอง ตอนเป็นแมวโดนจับอาบน้ำก็รู้สึกอายสุด ๆ แล้ว ถึงนั่น จะเป็นตอนเป็นแมวก็เถอะ!!


    "จะว่าไป เจ้าเหมียวนี่มาจากไหนกันครับ??"


    “เจ้าเหมียวตอนนั้น”


    ถามขึ้นมาบ้างระหว่างจ้องมองคนตัวเล็ก หมายถึงลูกแมวที่เขาเจอพร้อมกับฉารุโกะที่มุมอาคารเรียน ฮารุโกะลุกนั่งตรงมองคนถามนิดหน่อยแล้วตอบ


    “เจอระหว่างทางมาโรงเรียนน่ะ"


    "นอนขดอยู่ในกล่องข้าง ๆ ถังขยะ คงจะโดน ทิ้ง...."


    “ปล่อยไว้ก็น่าสงสาร เลยพามาโรงเรียนด้วย"


    เล่าด้วยเสียงและใบหน้านิ่งเรียบ แต่ทาเคชิสัมผัสได้ถึงความโกรธนิต ๆ จากในน้ำเสียงนั่น


    “ทิ้งลูกแมวตัวเล็กแบบนี้นี่นะ..."


    “เป็นเจ้าของ ใจร้ายจัง”


    เด็กหนุ่มผมดำว่า แต่มันก็น่าโกรธจริง ๆ นั่นละนะ ยังไงการทิ้งลูกแมวที่เป็นความรับผิดชอบของเจ้า มันก็ผิดเห็น ๆ เลยนี่นา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สารรักที่ 7

     ทาเคชินั่งมองพระจันทร์ยามเที่ยงคืนจากริมหน้าต่าง      มือหนึ่งยกขึ้นมาเท้าคาง หยาดน้ำค้างคู่สวยสงบนิ่ง เหมือนกำลังจมลึกในความคิด      เ...